วัตถุอันตรายเป็นสิ่งที่เราพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในที่ทำงานและในที่อยู่อาศัย สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อมได้ หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุอันตรายไม่เพียงแต่ช่วยให้เรารู้จัก และระวังในการใช้งาน แต่ยังช่วยในการป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตและทำงานในสถานประกอบการที่มีการใช้งานวัตถุอันตราย ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น
วัตถุอันตราย คืออะไร
วัตถุอันตราย หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Hazardous Substance” คือสารหรือวัตถุที่มีคุณสมบัติทางเคมีหรือทางกายภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม วัตถุเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์เมื่อสัมผัส หรือใช้งานอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค การระเบิด หรือการก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา วัตถุอันตรายสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีการจัดการและควบคุมอย่างระมัดระวัง
ความหมายและการนิยามของวัตถุอันตราย
ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 วัตถุอันตรายถูกกำหนดให้ครอบคลุมสิ่งต่างๆ ดังนี้:
- วัตถุระเบิดได้: วัตถุที่สามารถเกิดปฏิกิริยารุนแรง จนทำให้เกิดการระเบิดได้เมื่อได้รับการกระตุ้นโดยการเผาไหม้หรือการกระแทก
- วัตถุไวไฟ: วัตถุที่สามารถจุดไฟติดและเผาไหม้ได้ง่าย เช่น แก๊สและของเหลวไวไฟ
- วัตถุออกซิไดซ์และวัตถุเปอร์ออกไซด์: วัตถุที่สามารถทำปฏิกิริยากับสารอื่นและก่อให้เกิดการเผาไหม้หรือการระเบิดได้
- วัตถุมีพิษ: วัตถุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช หากมีการสัมผัสหรือสูดดม
- วัตถุที่ทำให้เกิดโรค: วัตถุที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อหรือการเจ็บป่วย
- วัตถุกัมมันตรังสี: วัตถุที่ปล่อยรังสีซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
- วัตถุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม: วัตถุที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต
- วัตถุกัดกร่อน: วัตถุที่สามารถทำลายหรือกัดกร่อนเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตหรือวัสดุ
- วัตถุที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: วัตถุที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตา หรือทางเดินหายใจ
- วัตถุอื่นๆ: สิ่งใดก็ตามที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะไม่เข้ากลุ่มข้างต้น
วิธีการจำแนกประเภทของวัตถุอันตรายตามหลักสากล
ตามหลักสากล วัตถุอันตรายถูกจำแนกออกเป็น 9 ประเภท ซึ่งมีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
- วัตถุระเบิด: วัตถุที่สามารถเกิดการระเบิดได้เมื่อได้รับการกระตุ้น อาจเป็นวัตถุที่ใช้ในอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ หรืออุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น ดินปืนและสารระเบิดอื่นๆ การจัดการกับวัตถุระเบิดต้องมีความระมัดระวังอย่างสูง เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
- ก๊าซ: วัตถุในสภาพของก๊าซ ซึ่งอาจเป็นก๊าซที่ติดไฟได้ ก๊าซที่เป็นพิษ หรือก๊าซที่ไม่ติดไฟแต่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆ เช่น การหายใจไม่ออก ก๊าซบางชนิดสามารถระเบิดได้เมื่อถูกอัดหรือได้รับความร้อน
- ของเหลวไวไฟ: ของเหลวที่สามารถติดไฟได้เมื่อมีการสัมผัสกับประกายไฟหรืออุณหภูมิสูง เช่น น้ำมันเบนซิน แอลกอฮอล์ หรืออะซีโตน ของเหลวไวไฟจำเป็นต้องเก็บรักษาในภาชนะที่ปิดสนิทและห่างไกลจากแหล่งประกายไฟ
- ของแข็งไวไฟ: ของแข็งที่สามารถติดไฟได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับประกายไฟหรือความร้อน เช่น ผงแมกนีเซียมและผงอะลูมิเนียม ของแข็งไวไฟมักใช้ในอุตสาหกรรมเคมีและอุตสาหกรรมโลหะ
- วัตถุออกซิไดส์และออร์แกนิกเปอร์ออกไซด์: วัตถุที่สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่รุนแรงและทำให้เกิดการเผาไหม้หรือการระเบิด วัตถุออกซิไดส์มักใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการผลิตต่างๆ ในอุตสาหกรรม
- วัตถุมีพิษและวัตถุติดเชื้อ: วัตถุที่มีคุณสมบัติเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ เช่น สารกำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าเชื้อ วัตถุมีพิษต้องจัดการและใช้โดยผู้ที่มีความรู้และการป้องกันที่เหมาะสม
- วัตถุกัมมันตรังสี: วัตถุที่สามารถปล่อยรังสีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น สารกัมมันตรังสีที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ การจัดการกับวัตถุกัมมันตรังสีต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด
- วัตถุกัดกร่อน: วัตถุที่สามารถกัดกร่อนหรือทำลายเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตหรือวัสดุ เช่น กรดและด่าง วัตถุกัดกร่อนมักใช้ในอุตสาหกรรมเคมีและการทำความสะอาด
- วัตถุอื่นๆ ที่เป็นอันตราย: วัตถุที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแต่ไม่เข้ากับประเภทข้างต้น เช่น สารเคมีที่สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
วิธีการระบุและการควบคุมวัตถุอันตราย
การระบุว่าสารเคมีใดเป็นวัตถุอันตราย สามารถทำได้โดยการสังเกตฉลากหรือสัญลักษณ์ที่ติดบนภาชนะบรรจุ ถังเหล็ก แท็งก์ หรือป้ายที่ติดบนรถบรรทุก สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นมาตรฐานสากลตามข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ (UN) หรือองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO: International Maritime Organization) ฉลากเหล่านี้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ทำมุม 45 องศา ใช้สัญลักษณ์ภาพ สี และตัวเลขในการบ่งชี้ประเภทของวัตถุอันตราย
การจัดการและควบคุมวัตถุอันตรายต้องดำเนินการตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด เพื่อป้องกันการเกิดอันตราย การจัดการกับวัตถุอันตรายประกอบด้วยการเก็บรักษา การขนส่ง และการกำจัดอย่างถูกวิธี ผู้ที่มีหน้าที่จัดการกับวัตถุอันตรายต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยและการปฏิบัติที่ถูกต้องในการทำงานกับวัตถุเหล่านี้ นอกจากนี้ สถานประกอบการควรมีมาตรการป้องกันและจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ให้กับพนักงานที่ต้องสัมผัสกับวัตถุอันตราย
ซึ่งโดยปกติสถานประกอบการที่มีวัตถุอันตรายตามเงื่อนไขกฎหมาย ต้องมีตำแหน่งเฉพาะที่ทำหน้าที่นี้ คือ ” บุคลากรเฉพาะรับผิดชอบการเก็บรักษาวัตถุอันตราย ” หรือเรียกย่อๆว่า บฉ. ก่อนจะมาปฏิบัติหน้าที่ต้องผ่านการสอบจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม
สำหรับผู้ที่เร่งรีบในการเตรียมตัวสอบ เราขอเสนอหลักสูตรเตรียมสอบ บุคลากรเฉพาะรับผิดชอบการเก็บรักษาวัตถุอันตราย ที่จะสรุปเนื้อหาออกสอบ และแนวข้อสอบที่ออกบ่อย ให้คุณสามารถเข้าใจได้ไวขึ้น สามารถเรียนออนไลน์ได้ผ่านทาง ZOOM ราคา 1,500 บาทเท่านั้น !!!
ผลกระทบของวัตถุอันตราย
วัตถุอันตรายสามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสวัตถุอันตรายอาจเกิดขึ้นทันทีหรือในระยะยาว ขึ้นอยู่กับประเภทและความเข้มข้นของวัตถุอันตราย ตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- ผลกระทบทางสุขภาพ: วัตถุอันตรายบางประเภทสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา หรือก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ บางวัตถุอาจทำให้เกิดอาการแพ้ หรือแม้แต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง
- ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม: วัตถุอันตรายที่ถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมอาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ การปนเปื้อนของวัตถุอันตรายสามารถทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของที่อยู่อาศัยและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
วิธีการป้องกันและการจัดการกับวัตถุอันตราย
เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายจากวัตถุอันตราย ควรมีการปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการความปลอดภัยดังต่อไปนี้:
- เข้าฝึกอบรม: ผู้ที่ต้องทำงานกับวัตถุอันตรายควรได้รับการฝึกอบรมการทำงานกับสารเคมี เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งาน การเก็บรักษา และการกำจัดวัตถุอันตรายอย่างถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) อย่างเหมาะสม
- เก็บรักษาให้ถูกวิธี: วัตถุอันตรายควรเก็บรักษาในภาชนะที่ปลอดภัยและในสถานที่ที่มีการควบคุมการเข้าถึง เพื่อป้องกันการรั่วไหลหรือการเกิดอุบัติเหตุ
- ขนส่งอย่างถูกต้อง: การขนส่งวัตถุอันตรายต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงการใช้ภาชนะและยานพาหนะที่เหมาะสมสำหรับการขนส่ง
- กำจัดให้เหมาะสม: วัตถุอันตรายที่หมดอายุการใช้งานควรได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์
- จัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการสัมผัสวัตถุอันตราย เช่น ถุงมือ หน้ากากป้องกัน แว่นตานิรภัย และชุดป้องกันสารเคมี
สรุป
วัตถุอันตราย เป็น สารหรือวัตถุที่มีคุณสมบัติที่สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อมได้ การจัดการและควบคุมวัตถุอันตรายอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของวัตถุอันตราย การระบุและการจัดการกับวัตถุอันตรายอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม