การสัมผัสสารเคมีอันตราย สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรง ตั้งแต่อาการระคายเคืองผิวหนังไปจนถึงอันตรายต่อชีวิต การปฐมพยาบาลที่รวดเร็วและถูกต้องมีความสำคัญ เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพที่อาจลุกลาม วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสสารเคมีอันตรายต้องทำตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยเน้นที่การรักษาความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือ
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย
สารเคมีอันตรายมีหลายประเภท เช่น สารกัดกร่อน (กรดและด่าง) สารไวไฟ สารพิษ สารระคายเคือง และสารออกซิไดซ์ ซึ่งแต่ละชนิดมีผลกระทบที่แตกต่างกัน การรู้จักชนิดของสารเคมีที่เกี่ยวข้องเป็นขั้นตอนแรกในการปฐมพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ โดยการตรวจสอบฉลากหรือแผ่นข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมี (SDS) จะช่วยให้ทราบข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อสารเคมี ความเป็นอันตราย และวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่แนะนำ
วิธีประเมินสถานการณ์ และความปลอดภัยในการเข้าช่วยเหลือ
ก่อนทำการปฐมพยาบาล ควรประเมินสถานการณ์และความปลอดภัยของสถานที่ก่อน:
- ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่: ให้ตรวจสอบว่ามีความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมหรือไม่ เช่น มีการรั่วไหลของสารเคมีมากเกินไป หรือมีอันตรายจากไฟไหม้
- ระมัดระวังในการเข้าใกล้ผู้ป่วย: ในกรณีที่สารเคมีอาจเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือ ควรระมัดระวังและใช้เครื่องมือป้องกันตนเอง (PPE) เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา หรือชุดป้องกันสารเคมี (ที่จะแบ่งออกเป็นระดับชุดป้องกันสารเคมี เลือกใช้ตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป)
- เรียกหน่วยฉุกเฉิน: หากสถานการณ์เกินกว่าที่จะควบคุมได้ ควรเรียกหน่วยฉุกเฉินหรือรถพยาบาล เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือ
8 ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สำหรับผู้สัมผัสสารเคมี
การปฐมพยาบาลเมื่อสัมผัสสารเคมีอันตรายจะต้องเน้นที่การลดการสัมผัสสารเคมี และการบรรเทาอาการของผู้ป่วย มีขั้นตอนดังนี้:
1. ป้องกันตนเอง
การป้องกันตนเองเป็นขั้นตอนสำคัญอันดับแรกเมื่อทำการปฐมพยาบาล:
-
- สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): สวมถุงมือ หน้ากาก แว่นตา หรือชุดป้องกัน เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ห้ามสัมผัสกับสารเคมีหรือส่วนของร่างกายที่สัมผัสสารเคมีโดยตรง เช่น ผิวหนัง ตา หรือปาก
2. ย้ายผู้ป่วยออกจากพื้นที่อันตราย
-
- เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากพื้นที่: หากสถานที่ไม่ปลอดภัยหรือมีสารเคมีแพร่กระจาย ควรย้ายผู้ป่วยไปยังที่ปลอดภัย เช่น พื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี
- ระวังการแพร่กระจายของสารเคมี: หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวมากเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายหรือไปยังผู้อื่น
3. ล้างสารเคมีออกจากร่างกายทันที
การล้างสารเคมีออกจากร่างกายเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำทันทีเพื่อป้องกันการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย:
-
- กรณีสัมผัสทางผิวหนัง: ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำไหลเย็นนานอย่างน้อย 15-20 นาที ควรใช้น้ำจำนวนมากและไม่ใช้แรงมากในการล้างเพื่อลดความเสี่ยงที่สารเคมีจะถูกกดลึกเข้าสู่ผิวหนัง
- กรณีเข้าตา: ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือโดยเปิดเปลือกตาให้กว้างและล้างด้วยน้ำไหลนานอย่างน้อย 15-20 นาที หากมีอุปกรณ์ล้างตา (eyewash station) ควรใช้ทันที
- กรณีสูดดม: หากผู้ป่วยสูดดมสารเคมี ให้พาไปยังที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์และเปิดหน้าต่างหรือประตูเพื่อระบายอากาศ หากผู้ป่วยหายใจลำบาก ให้ตรวจสอบว่าจำเป็นต้องทำการช่วยหายใจหรือไม่
4. ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมี
-
- ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อน: ถอดเสื้อผ้าที่สัมผัสสารเคมีออกจากร่างกายทันที โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังที่ยังไม่ปนเปื้อน
- เก็บเสื้อผ้าปนเปื้อนสารเคมีในถุงพลาสติก: เก็บเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนในถุงพลาสติกหรือวัสดุอื่นๆ ที่สามารถปิดผนึกได้ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารเคมี
5. ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามประเภทของสารเคมี
การปฐมพยาบาลเพิ่มเติมจะแตกต่างกันตามประเภทของสารเคมี:
-
- สารกัดกร่อน (กรดหรือด่าง): ล้างด้วยน้ำจำนวนมากเพื่อเจือจางสารเคมีและลดความเสียหาย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือติดต่อศูนย์พิษวิทยา
- สารไวไฟ: หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่อาจทำให้เกิดประกายไฟ และนำผู้ป่วยออกจากแหล่งที่มีความร้อนหรือประกายไฟ
- สารพิษ: หากผู้ป่วยกลืนกินสารเคมี ห้ามทำให้ผู้ป่วยอาเจียน ควรดื่มน้ำสะอาดและติดต่อแพทย์หรือศูนย์พิษวิทยาทันที
6. เรียกรถพยาบาลหรือหน่วยฉุกเฉิน
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงเช่น หายใจไม่ออก หมดสติ หรือมีอาการบาดเจ็บทางผิวหนังอย่างรุนแรง ควรเรียกรถพยาบาลทันที ให้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่สัมผัสเพื่อให้ทีมแพทย์สามารถเตรียมการช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
7. ติดตามอาการผู้ป่วย
-
- สังเกตอาการผู้ป่วย: ให้สังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง เช่น การหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ การตอบสนอง และการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เพื่อให้ข้อมูลแก่ทีมแพทย์เมื่อมาถึง
- เตรียมข้อมูลสารเคมี: หากทราบชื่อหรือข้อมูลของสารเคมีที่ผู้ป่วยสัมผัส ให้เตรียมข้อมูลไว้เพื่อให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
8. เก็บสารเคมีที่เกี่ยวข้อง
-
- เก็บตัวอย่างสารเคมี: หากสามารถทำได้อย่างปลอดภัย เก็บตัวอย่างหรือภาชนะบรรจุสารเคมีเพื่อให้ข้อมูลแก่แพทย์หรือหน่วยงานฉุกเฉิน
- จัดทำบันทึกเหตุการณ์: จดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ เช่น เวลาที่เกิด สถานที่ ชนิดของสารเคมี และอาการของผู้ป่วย เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในอนาคต
วิธีการป้องกันและการเตรียมพร้อม ต่ออุบัติเหตุทางสารเคมี
การป้องกันการสัมผัสสารเคมีและการเตรียมพร้อม ในกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยง ซึ่งมีวิธีการดังนี้:
- ฝึกอบรม: ควรให้การฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้งานสารเคมีอย่างปลอดภัยและการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่พนักงาน โดยเนื้อหาเหล่านี้เราจะได้พบใน หลักสูตรการทำงานกับสารเคมี อยู่แล้วเป็นเนื้อหาตามกฎหมายกำหนด แต่ถ้าคุณต้องการเรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในรูปแบบอาการอื่นๆที่พบได้ในชีวิตประจำวัน สามารถเลือกเรียนปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยเฉพาะได้
- เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกัน: ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสมตามประเภทของสารเคมีที่เกี่ยวข้อง
- รู้หลักการจัดเก็บสารเคมีอย่างปลอดภัย: เก็บสารเคมีในภาชนะที่ปิดสนิทและติดฉลากชัดเจน ควรจัดเก็บในสถานที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย
- เตรียมพร้อมอุปกรณ์ฉุกเฉิน: ติดตั้งอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น ฝักบัวล้างตัวและอุปกรณ์ล้างตา (eyewash station) ในบริเวณที่ใช้งานสารเคมี
สรุป
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสสารเคมีอันตรายเป็นทักษะที่สำคัญ และต้องทำอย่างรวดเร็วและรอบคอบ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือ การล้างสารเคมีออกจากร่างกายทันที และเรียกหน่วยฉุกเฉินในกรณีที่อาการรุนแรง การป้องกันการสัมผัสสารเคมี และการเตรียมพร้อมในกรณีฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ
หากคุณต้องการเรียนรู้การทำงานกับสารเคมี รู้พื้นฐานชนิดสารเคมีแต่ละชนิด รวมถึงหลักการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับสารเคมี เช่น สัมผัสารเคมี สารเคมีโรงงานรั่วไหล สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ อบรมเคมี.com พร้อมจัดอบรมหลักสูตรสารเคมีอันตราย ตามกฎหมายกำหนด สมัครวันนี้ลดทันที 40%